ไขปริศนา "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" หลังรถเข็น เส้นทางแฟรนไชส์ จบป.4 สู่เถ้าแก่ 100 ล้าน (ประชาชาติธุรกิจ)
จากวิถีสู้ชีวิตของเด็กบ้านนอกคอกนา ฐานะยากจน แต่เติบใหญ่เป็นนายคนด้วยวัยเพียง 47 ปี และใช้เวลาในการต่อสู้บนเส้นทางสายเส้น จนผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าของแฟรนไชส์ระดับประเทศ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ภายใต้แบรนด์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" ชื่อที่เชื่อได้ว่าเมื่อเอ่ยปากร้อยทั้งร้อยเป็นต้องได้รู้จัก
นิตยสารเส้นทางเศรษฐี หนังสือในเครือมติชน ที่มีคุณทวี มีเงิน เป็นบรรณาธิการบริหาร ได้พาผู้อ่านทุกผู้ทุกวัยร่วมกันไขปริศนา "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" แฟรนไชส์ที่คนส่วนมากเคยลิ้มลอง และมีไม่น้อยที่ฝากท้องไว้เป็นประจำ

จากวิถีสู้ชีวิตของเด็กบ้านนอกคอกนา ฐานะยากจน แต่เติบใหญ่เป็นนายคนด้วยวัยเพียง 47 ปี และใช้เวลาในการต่อสู้บนเส้นทางสายเส้น จนผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าของแฟรนไชส์ระดับประเทศ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ภายใต้แบรนด์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" ชื่อที่เชื่อได้ว่าเมื่อเอ่ยปากร้อยทั้งร้อยเป็นต้องได้รู้จัก
วันนี้ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" มีสาขาทั่วประเทศและต่างประเทศมากกว่า 2,000 สาขา สร้างเอกลักษณ์บนความแตกต่าง ใฝ่เรียนสร้างโอกาสให้ตนเอง

ชายร่างเล็ก อัธยาศัยดี มีรอยยิ้มและน้ำเสียงที่พูดคุยเป็นกันเอง เป็นเอกลักษณ์แสดงถึงตัวตนที่แท้จริง ว่า เขาไม่ได้เป็นคนหยิบหย่ง แต่มีความตั้งใจจริงในการทำงานและค้นหาความแตกต่างบนทางที่หลายคนเลือกเดิน เพื่อให้ความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับเขา
"พันธ์รบ กำลา" เป็นชื่อของเจ้าของแบรนด์ที่เอ่ยถึง ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว จำกัด ต่อเมื่อสบโอกาสคลายข้อสงสัยถึงที่มาของแฟรนไชส์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" อันคุ้นชื่อ จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสทิ้งไป

คุณพันธ์รบเป็นชาวอำเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด แดนดินถิ่นอีสาน มีโอกาสร่ำเรียนเพียงชั้นประถม 4 ตามประสาครอบครัวที่มีลูกมาก ยิ่งคุณพันธ์รบเองเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 3 คนและน้องสาวอีก 1 คน ทำให้ความก้าวหน้าทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องใฝ่รู้ด้วยตนเอง ฐานะทางครอบครัวไม่สามารถยัดเยียดให้ได้ ประกอบกับความคิดในวัยเด็กที่เห็นหนุ่มสาวกลับบ้านยามว่างจากงานในกรุงเทพฯ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงาม ใบหน้าผุดผ่อง ยิ่งทำให้คุณพันธ์รบฮึกเหิมตั้งใจมุ่งหน้าหางานทำในกรุงเทพฯ ให้ได้
"ออกจากเรียนอายุ 12 ปี เข้ากรุงเทพฯ ไปทำงาน เพราะเห็นคนไปกรุงเทพฯ กลับมาแล้วสวยหล่อ ผมไปครั้งแรกไปทำงานโรงงานผลิตน็อต เกลียว สกรู กินข้าวด้วยตะเกียบไม่เป็น ทำได้ไม่นานก็กลับบ้าน แต่ไม่นานก็กลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีก และครั้งนี้ก็เป็นบันไดขั้นหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"
คุณพันธ์รบเรียกแทนตัวเองว่า "ผม" ทุกคำ และแสดงความเป็นกันเองกับผู้ฟัง ทั้งยังเล่าประสบการณ์ชีวิตก่อนเป็น ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ด้วยมุมมองของนักคิดที่เขาเองพยายามสร้างเอกลักษณ์ให้ออกมาในรูปของการ ปฏิบัติที่ทำได้จริงและเกิดประโยชน์
เพราะความใฝ่รู้ที่คุณพันธ์รบมีอยู่ในตัว ระหว่างที่กลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ครั้งที่ 2 คุณพันธ์รบถูกน้าพาไปทำงานบ้านกับเถ้าแก่รายหนึ่ง เพราะเห็นแววความมีระเบียบเรียบร้อยของคุณพันธ์รบ ประจวบเหมาะที่ได้เถ้าแก่ใจดี เปิดโอกาสให้ใช้เวลาในช่วงค่ำเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการทดลองเปิดให้การศึกษารูปแบบนี้ในปีแรก กระทั่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในเวลาไม่นาน

เอาสมองไปขาย จุดประกายนักธุรกิจ ชีวิตคุณพันธ์รบผันผวนจากคนทำงานบ้าน ไปเป็นคนงานผลิตของใช้ในครัวเรือน แต่ได้เพียงระยะหนึ่ง ต้องกลับไปรับใช้ชาติตามหมายเกณฑ์ทหารของวัยหนุ่ม "ใบแดง" เป็นสีที่คุณพันธ์รบจับได้และต้องเข้ารับการฝึกทหารเกณฑ์เป็นเวลา 2 ปี ระหว่างนั้นเองถือว่าเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ทำให้คุณพันธ์รบมีเงินเก็บ เป็นเงินก้อน จนคุณพันธ์รบบอกว่า "วิญญาณความเป็นนักธุรกิจของผมเริ่มจากตรงนั้น"

"ผมเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน เป็นคนเรียบร้อย มัธยัสถ์ วางแผน ชอบคิด เมื่อเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้ก็มีเงิน เงินเดือนทหารสมัยก่อนเดือนละ 300 บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ 8 บาท ทั้งเดือนผมเหลือเต็ม 540 บาท เพราะกินฟรี เสื้อผ้าฟรี พอมีคนรู้ว่าผมมีเงินเก็บก็มาขอยืม ผมให้ยืมนะแต่ให้เงินไป 80 บาท ต้องคืน 100 บาท ทุก 10 วันต้องนำเงินมาคืนครบ เท่ากับ 1 เดือนผมมีเงินหมุน 3 ครั้ง ทำให้ช่วงที่เป็นทหารเกณฑ์มีเงินเก็บ 40,000-50,000 บาท เงินจำนวนนี้ในปี 2527 ถือว่าเยอะ และวิญญาณความเป็นนักธุรกิจของผมเริ่มจากตรงนั้น"
ชีวิตหลังมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ คุณพันธ์รบยังไม่มีแววต่อยอดเป็นนักธุรกิจอย่างคนมีวิญญาณ คงรับจ้างไถนาได้ค่าแรงเป็นเงิน 80 บาท ต่อไร่ ชีวิตวนเวียนอยู่ไม่นานนัก คุณพันธ์รบตัดสินใจพาครอบครัวเข้ากรุงเทพฯ และสมัครเป็นลูกจ้างขายไอติม ประสบการณ์ส่วนนี้คุณพันธ์รบถ่ายทอดได้อย่างถึงกึ๋น

ขายไอติม คุณพันธ์รบ บอกว่า เขาทำยอดขายสูงสุดจากคนขายไอติมทั้งหมด 30 คน จัดว่าเป็นมือทองและมือโปรของบริษัท มีคนสงสัย เขาเฉลยเทคนิคให้ฟังตามนี้

"เราต้องเอาสมองไปขาย" คุณพันธ์รบ บอก "ผมวางแผน เข้าซอยนี้ต้องขายแบบนี้ เช่น คนสวยมาซื้อลดราคาลงหน่อย ซอยนี้ตันแต่เด็กเยอะ เราต้องวกกลับมาที่เดิม ขาเข้าต้องไปเร็ว ขากลับต้องช้า ที่ต้องทำอย่างนั้นเป็นการเตือนขาเข้าว่า ให้ไปขอเงินพ่อแม่ ขากลับช้า รอให้เขาไปเอาเงินมาซื้อ ถ้าพ่อแม่ทำยึกยักไม่ควักเงินจะให้เราไปก่อน ต้องแกล้งทำเป็นรถเสียรอ ส่วนซอยไหนเป็นเวทีศูนย์รวมความบันเทิงของหนุ่มสาว วิธีที่ได้ผลดีที่สุด คือ รถเสีย เสียใกล้ๆ หนุ่มสาว เมื่อรำคาญที่เราขัดจังหวะก็ต้องควักเงินออกมาซื้อเพื่อให้เราไปที่อื่น"

ชีวิตเปลี่ยน เมื่อน้องชายชวนขายก๋วยเตี๋ยว คุณพันธ์รบ เล่าให้ฟังว่า น้องชายของคุณพันธ์รบมีอาชีพขับรถส่งลูกชิ้นโกฮับ ได้เงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากการส่งลูกชิ้น ขายมากก็ได้เงินเปอร์เซ็นต์มาก น้องชายคนนี้มาบอกกับเขาว่า อาชีพทำนาและขายไอติมไม่เหมาะกับพี่ ก่อนชักชวนให้ไปขายลูกชิ้นด้วยกัน เพราะเชื่อน้อง คุณพันธ์รบจึงผันตัวเองจากพ่อค้าไอติมเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว รับลูกชิ้นจากน้องชายมาใส่ก๋วยเตี๋ยว ราคาชามละ 10-15 บาท ตั้งรถเข็นแถวแยกลำลูกกา และขายดีจนยอดขายต่อคืน 7,000 บาท บวกรวมเป็นยอดขายต่อเดือนอยู่ที่ 200,000 บาท ตั้งร้านตั้งแต่เที่ยงวัน เก็บร้านเมื่อก้าวสู่วันใหม่ในเวลา 03.00 น. ของทุกวัน พ่อค้าแม่ขายร้านใกล้เคียงให้ฉายาคุณพันธ์รบ ว่า "มนุษย์เหล็ก" เพราะไม่มีวันไหนที่คุณพันธ์รบหยุดขาย และบอกวิธีเรียกลูกค้าด้วยใจ ว่า ทำเลมีส่วน แต่ที่สำคัญต้องสะอาด รู้จักการเทกแคร์ การพูดจา รสชาติ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าทุกคนต้องการ เมื่อเรามีลูกค้าก็เข้าหา

ซื้อเครื่อง - ศึกษาทำบะหมี่ ลูกค้าคือผู้ตอบโจทย์ เมื่อรายได้ดีไม่เป็นรองใคร คุณพันธ์รบหมั่นเก็บหอมรอมริบ มีเงินจำนวนหนึ่งที่มากพอ ต่อเมื่อได้พูดคุยกับน้องชายคนที่ 4 ซึ่งขายบะหมี่เกี๊ยวยี่ห้อดัง บริเวณมหาวิทยาลัยรังสิต ใกล้ตลาดสี่มุมเมือง น้องชายบอกกับคุณพันธ์รบว่า กำไรต่อคืนที่น้องชายเก็บเข้ากระเป๋าอยู่ที่ 1,000 บาท ส่วนคุณพันธ์รบเมื่อทบทวนดูยอดขาย หักลบต้นทุนทั้งหมดแล้วเหลือกำไรเข้ากระเป๋าเพียง 500 บาท จึงรู้สึกถึงความเป็นพี่ชายที่ไม่ควรมีรายได้น้อยไปกว่าน้อง แว่บแรกของความคิดขณะนั้น คุณพันธ์รบบอกว่า พี่อยากขายบะหมี่เกี๊ยว จะต้องทำอย่างไร น้องชายจึงแนะนำให้ไปพบเจ้าของโรงงานผลิตเส้นบะหมี่ ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 35

"ผมเข้าไปคุยกับเถ้าแก่ อยากได้บะหมี่ไปขายครับ แต่เถ้าแก่บอกว่า ไม่ได้ เหตุผลเพราะรถส่งบะหมี่ของโรงงานไม่ผ่านร้านที่ผมตั้งขาย"

คุณพันธ์รบเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อเล่าถึงตรงนี้ โดยย้ำว่า "ต้องขอขอบคุณ เถ้าแก่ เพราะคำพูดประโยคนี้เป็นบันไดขั้นหนึ่งที่ทำให้ผมเป็น ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ทุกวันนี้ มันทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมมีโอกาสทำขึ้นเองเมื่อไหร่ ผมจะทำส่งให้ทั่วประเทศไทย"

เพราะความมีไหวพริบปฏิภาณของคุณพันธ์รบ เขาไม่ย่อท้อ แต่เลือกให้น้องชายซึ่งขายบะหมี่เกี๊ยวอยู่ก่อน สั่งบะหมี่เกี๊ยวเพิ่มจำนวนขายมากเป็น 2 เท่า และยอมขับรถไปรับบะหมี่เกี๊ยวจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาขายเอง บริเวณแยกลำลูกกา ทำให้เมนูของร้านเพิ่มขึ้นจากก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส เป็นเมนูบะหมี่เกี๊ยว และข้าวมันไก่ อีก 2 รายการ เมนูเพียง 3 อย่าง สร้างกำไรให้กับคุณพันธ์รบ คืนละ 3,000 บาท ต่อวัน ไม่นานนักคุณพันธ์รบมีเงินเก็บสูงถึง 700,000 บาท

เลือดนักธุรกิจที่แฝงอยู่ในตัวคุณพันธ์รบแสดงออกมาเมื่อคุณพันธ์รบรู้สึก มั่นใจในความตั้งใจและมันสมองของตนเอง ความคิด "ถ้ามีโอกาสทำเส้นบะหมี่จะทำให้ดีที่สุด" เพราะทุกวันที่รับเส้นบะหมี่มาขาย ยังมีอีกหลายวันที่เส้นบะหมี่ไม่เหลือง ขาดลุ่ย ไม่เหนียว ไม่นุ่ม ซึ่งเป็นปัญหาของพ่อค้าแม่ขายที่ไม่ใช่ผู้ผลิต และตรงนี้เป็นตัวกระตุ้นให้คุณพันธ์รบตัดสินใจศึกษาเรื่องการทำเส้นบะหมี่ อย่างจริงจัง สอบถามคนส่งเส้นบะหมี่ถึงแหล่งซื้อเครื่องทำเส้นบะหมี่ เมื่อทราบจึงตัดสินใจควักเงินลงทุนซื้อเครื่องตัวแรกในราคา 20,000 บาท แต่เพราะยังไม่มีความรู้ด้านการผลิตอย่างจริงจัง จึงตัดสินใจอีกครั้งในการจ้างคนทำบะหมี่เป็นมาสอนให้ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกหลอก ไม่มีใครสอนให้รู้อย่างจริงจัง
"ผมเริ่มเก็บข้อมูลเอง ศึกษาหาความรู้เอง ทำไปเอามาขายไป ให้ลูกค้าทดลองกิน คอยถามลูกค้าเส้นเหนียวดีหรือเปล่า นุ่มหรือไม่ อย่างไร พยายามปรับสูตรให้ลงตัวจนได้เส้นบะหมี่สูตรชายสี่บะหมี่เกี๊ยว หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี"
เคล็ดลับตัวตนคนพันธ์รบ แบรนด์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" 1 ปีแรกของการทำบะหมี่เองและขายก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยว ข้าวมันไก่ คุณพันธ์รบมีเงินเก็บ 200,000 บาท เขาตัดสินใจซื้อรถและขับกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นที่ฮือฮาว่าร่ำรวย ทุกครั้งที่มีคนถามว่าไปทำอะไรมาถึงรวย คุณพันธ์รบจะตอบว่า "ขายบะหมี่" จนเป็นที่มาของการบอกต่อ และเชื่อว่า ขายบะหมี่แล้วจะรวย ทำให้คนใกล้ชิดในละแวกหมู่บ้านและคนที่บอกต่อกันไปเข้ามาหาและสั่งบะหมี่จาก คุณพันธ์รบไปขาย

นักธุรกิจไม่ได้จบแค่ผลิตและขาย แต่นักธุรกิจต้นตำรับแบรนด์ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว อย่างคุณพันธ์รบ บริการหาทำเล บ้านเช่า สอนวิธีอบหมูแดง วิธีลวกบะหมี่ วิธีการจ่ายตลาด ซึ่งคนที่สั่งบะหมี่จากคุณพันธ์รบไปขาย มีลูกค้าเข้าร้านมียอดขายไม่ต่างจากคุณพันธ์รบ การบอกต่อเริ่มต้นขึ้น ทำให้บะหมี่ของคุณพันธ์รบถูกส่งไปขายในหลายที่หลายแห่งของหลายจังหวัด

ความคิดมีแบรนด์เป็นของตนเองจึงเริ่มขึ้น เป็นที่มาของปริศนาคำว่า "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"
คุณพันธ์รบ เล่าติดตลกว่า "ตั้งขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจสื่อความหมายอะไร เพราะตอนคิดต้องการให้คนเห็นแล้วสะดุดตา จดจำชื่อได้ดี เมื่อคำนวณจากป้ายรถเข็นแล้วเห็นว่าชื่อไม่ควรเกิน 4 พยางค์ ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านนิยายจีน จึงคิดชื่อไว้หลายชื่อ ตั้งแต่ ปักกิ่ง ป๊ะป๋า ราชินี และสุดท้ายมาจบที่ "ชายสี่" เพราะสอดคล้องกับคำว่า "บะหมี่เกี๊ยว" มากที่สุด ไม่ได้คิดให้สอดคล้องกับพี่น้องผู้ชาย 4 คนที่มีอยู่แม้แต่น้อย แต่ที่หลายคนเข้าใจเช่นนั้น คุณพันธ์รบให้คำตอบว่า เพราะมีคนถามคนขายแถวบ้าน คนแถวบ้านตอบไปว่า เพราะบ้านผมมีลูกชาย 4 คน ซึ่งประจวบเหมาะกันพอดี

คุณพันธ์รบ เผยสิ่งที่ติดตัวมาโดยตลอดแบบไม่ต้องท่องจำ คือ ความใฝ่รู้ที่เขาเองรู้ตัวตลอดมาว่า ชอบอ่านหนังสือ เมื่ออ่านจบและจดบันทึกและโน้ตย่อไว้ สำหรับการอ่านใหม่อีกครั้ง หรือแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้เขาเพิ่มจากการอ่านใหม่อีกครั้ง เป็นการอ่านลงแผ่นซีดี เพื่อนำมาเปิดฟังได้จำนวนครั้งเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น หนังสือประวัติชีวิตของ "ตัน โออิชิ" คุณพันธ์รบอ่านจบสามารถโน้ตย่อได้เหลือเพียง 4 หน้า ซึ่งทุกครั้งของการเดินทางทำธุรกิจ หากอ่านหนังสือได้ครบเล่มต่อครั้งของการเดินทาง จัดว่าเป็น "กำไร" สำหรับเขาแล้ว

อ่านถึงตรงนี้อาจอยากทราบว่า คุณพันธ์รบ ภูมิใจในแบรนด์ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว แค่ไหน คุณพันธ์รบตอบอย่างมั่นใจว่า ภูมิใจแต่น้อยกว่าบางเรื่อง สิ่งนั่นคือ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเด็กผู้ชายเรียนน้อยเพียงประถม 4 ไม่มีโอกาสจับเครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่างการเรียนแม้แต่ชั้นเดียว
แต่เมื่อเป็น ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว คุณพันธ์รบ ย่อมต้องถ่ายทอดและอบรมคุณสมบัติหลายอย่างให้กับพนักงานผ่านเครื่องฉายแผ่นใส ซึ่งคุณพันธ์รบหงุดหงิดกับการเขียนและลบของวิธีนี้ จึงพยายามหัดโปรแกรม "พาวเวอร์พอยต์" และหัดพิมพ์ที่แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ และเขาแสดงตัวตนให้เห็นชัด เมื่อคุณพันธ์รบเผยวิธีการจำตัวอักษรบนแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด โดยยกตัวอย่างหนึ่งให้เห็นชัด ในแป้นพิมพ์แถวที่ 4 จากล่าง เมื่อวางมือขวาลงบนแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด จะมีตัวอักษร "ร-น-ย-บ-ล" เรียงกัน คุณพันธ์รบมีวิธีจำตามแบบฉบับของเขา โดยนึกถึงความรักที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิง ซึ่งเปรียบเสมือนหมามองเครื่องบิน แล้วอยากให้เครื่องบินลดต่ำลงมาถึงพื้น "ร-น-ย-บ-ล" จึงจำว่า "รักน้องอยากบินลง" เพียงเท่านี้การจำและการพิมพ์ก็ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องกางตำรา

นี่แหละตัวตนและที่มาของ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ

หลายคนอาจจะได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง "TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน" กันมาแล้ว ด้วยตัวอย่างที่น่าติดตามต่างจากภาพยนตร์วัยใสทั่วไป เพราะภาพยนตร์ดังกล่าวนั้นมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง!! ของเด็กหนุ่มที่ติดเกมออนไลน์... เรียนหนังสือไม่เก่ง แถมถูกประณามว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน แต่ใครจะรู้ว่าเขาคนนั้นจะกลายมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพียง อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น

ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เศรษฐีร้อยล้านเจ้าของธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบแบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" ก่อนหน้านี้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่สนใจเรียน ชีวิตของ ต๊อบ มีแต่คำว่า "เกม" เท่านั้น โดยต๊อบเริ่มเล่นเกมออนไลน์มาตั้งแต่ ม.4 ถึงขนาดสะสมแต้มจนรวยที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ และกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกมดังกล่าว จนมีฝรั่งมาขอซื้อไอเท็มเด็ด ๆ ไอเท็มเจ๋ง ๆ ที่หายากในเกมจากเขา และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นสร้างรายได้ของต๊อบ ซึ่งการซื้อขายไอเท็มเกมดังกล่าว บวกกับการที่เป็นผู้ทดสอบระบบเกมในฐานะคนเล่น ก็สร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ จนมีเงินเก็บเป็นหลักแสนบาทเลยทีเดียว

ด้วยความที่เป็นเด็กติดเกม ต๊อบ อิทธิพัทธ์ จึงเรียนจบชั้นระดับมัธยมมาได้อย่างยากลำบาก และเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนนั้นนั่นเองเขาก็เริ่มก้าวเข้าสู่ถนนแห่งเส้นทางธุรกิจ พร้อมตั้งใจจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงด้วยการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และในช่วงจังหวะที่เกมออนไลน์เริ่มไม่เป็นที่นิยมเหมือนเคย เขาก็หารายได้จากช่องทางอื่น ทั้งขายเครื่องเล่นวีซีดี ดูทำเลเปิดร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขาได้ไปเดินงานแฟร์ช่องทางธุรกิจ ซึ่งในงานนั้นมีเฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่นมาออกบู๊ท ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบกินเกาลัดอยู่แล้ว เลยสนใจธุรกิจนี้เป็นพิเศษ จึงเข้าไปสอบถามค่าเฟรนไชส์เกาลัดดังกล่าว แต่ทว่าราคาสูงเกินกำลังที่เขามี เลยขอแค่เช่าตู้คั่วเกาลัดเท่านั้น แล้วมาสร้างเฟรนไชส์เป็นของตัวเอง และเมื่อวันที่เขาต้องไปเซ็นสัญญาซื้อขายเกาลัดที่ห้างแห่งหนึ่ง ก่อนออกจากบ้านเขาได้ยินคุณพ่อพูดกับเพื่อนว่า "ลูกอั้วกำลังจะเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว" คำว่าเถ้าแก่น้อยที่ได้ยินตอนนั้นนั่นเอง ที่เป็นที่มาของชื่อ "เถ้าแก่น้อย" สาหร่ายทอดกรอบในปัจจุบัน

เศรษฐีร้อยล้าน ได้ใช้เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ ขยายเฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อย ได้กว่า 30 สาขา และเมื่อเขาเห็นว่า เฟรนไชส์ของเขาขายได้หลายแห่งแล้ว เขาจึงคิดจะทำสินค้าอื่นเพิ่มเติม จึงลองนำอย่างอื่นมาวางขายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น เกาลัด ลูกท้อ ลำไยอบแห้ง และสาหร่าย แต่สินค้าที่ขายดีที่สุดในตอนนั้นกลับไม่ใช่เกาลัด แต่กลายเป็นสาหร่ายทอดกรอบ ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากต่อยอดธุรกิจในการทำสาหร่ายทอดตรา "เถ้าแก่น้อย" อย่างจริงจัง หลังจากนั้นเขาก็พยายามศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับสาหร่าย และได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง โดยเริ่มจากบรรจุซองพลาสติกไปฝากตามร้านค้าต่าง ๆ แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ทั้งสินค้าหมดอายุไว รูปแบบแพ็กเกจจำหน่ายไม่สวย จึงทำให้เขากลับมานั่งคิดอีกครั้งว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าเก็บไว้ได้นาน มีแพ็คเกจที่น่าสนใจ และสามารถขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ได้

แต่พรสวรรค์ทางการตลาดของเขาก็ได้จุดประกายความคิดอีกครั้ง เขาได้นำกระแสเกาหลี กระแสญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ โดยอยากให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าของ เขาได้ทันทีที่แรกเห็น เขาจึงทำโลโก้เป็นเด็กน่ายิ้ม ดูน่ารัก มีความสุข อีกทั้งถือธงเพื่อให้รู้ว่า ถึงจะเป็นของกินเล่นแต่มีคุณค่าทางอาหารสูง รวมไปถึงเพิ่มรสชาติต่าง ๆ ให้หลากหลาย ตอบรับความต้องการของแต่ละคน และเมื่อเขาได้ปรับปรุงสินค้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยไปเสนอแก่ 7-11 อีกครั้ง และจากนั้นก็ได้รับการติดต่อกลับมาในทันทีว่า "ภายใน 3 เดือน สินค้าคุณพร้อมจะวางขายในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศ หรือไม่" เมื่อได้ยินดังนั้น คำถามก็ประดังประเดเข้ามาในหัวของเขาว่า เขาต้องทอดสาหร่ายกี่แผ่น ใช้คนทอดกี่คน และจะทำทันหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด แต่เขาก็ตอบกลับ 7-11 ไปเกือบจะทันทีว่า พร้อมครับ!!!


หลังจากที่ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ตอบตกลงไปแล้ว เขาก็ต้องกับมานั่งกุมขมับ กับปัญหา และสิ่งที่ตามมาทั้งการสร้างโรงงาน เงินทุน แหล่งวัตถุดิบ การนำเข้าเครื่องจักรต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน พร้อมส่งขายแก่ 7-11 กว่า 3,000 สาขา ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น...  เขาจึงเดินหน้าด้วยการเริ่มต้นหาทุนสร้างโรงงาน โดยการไปขอกู้ยืมจากธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา นั่นเป็นเพราะว่า ในตอนนั้นเขามีอายุเพียง 20 ปี เท่านั้น และเมื่อเขากู้เงินไม่ผ่าน เขาจึงยอมตัดใจขายธุรกิจเฟรนไชส์เกาลัดทิ้ง ซึ่งเฟรนไชน์กว่า 30 สาขาดังกล่าว สร้างรายได้ให้เขาเดือนละกว่าล้านบาทเลยทีเดียว แต่กว่า
ที่เขาจะตัดสินใจขายเฟรนไชส์แรกที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญต่อจิตใจของเขามาก แต่เขาก็ต้องขายด้วยความเสี่ยง เพราะเขาไม่รู้เลยว่า ธุรกิจสาหร่ายนั้น จะดีเท่ากับธุรกิจเกาลัดหรือไม่
ในขณะที่ธุรกิจกำลังก้าวหน้า ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ได้ตัดสินใจดร๊อปเรียนไว้ตอนปี 1 เพื่อนำเวลามาทำธุรกิจส่วนตัวอย่างเต็มตัว ส่วนทางด้านเงินที่ขายเฟรนไชส์เกาลัด ก็นำมาลงทุนกับสาหร่ายทั้งหมด โดยการสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอด ซึ่งมีพนักงานก็คือครอบครัวของเขาทุกคน และคนงานอีกเพียงแค่ 6-7 คนเท่านั้น ทุกคนทำงานอย่างหนัก ยิ่งช่วงใกล้ส่งสินค้าให้กับทาง 7-11 ครอบครัวและคนงานของเขา แทบไม่ได้หลับได้นอน ทอดสาหร่าย และบรรจุภัณฑ์ แต่ก็สำเร็จ เขาสามารถบรรทุกสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเต็มคัน ขับไปส่งศูนย์จำหน่าย  7-11 ได้สำเร็จ จากนั้นเป็นต้นมา สาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" ก็ทะยานสู่ตลาดวัยรุ่น และผู้บริโภคที่ชื่นชอบสาหร่ายทอดกรอบได้สำเร็จ ส่วน ต๊อบ ก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มใหม่ไฟแรง เปลี่ยนสถานะจากเศรษฐีร้อยล้าน กลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างสำเร็จ

 ส่วนเรื่องการเรียนของ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ นั้น ตอนนี้เขามีวุฒิการศึกษาสูงสุดเพียงแค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้ลงเรียนอีกครั้งที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งแม้ว่าเขาจะเชื่อว่า ประสบการณ์ไม่ได้มาจากทฤษฎีในห้องเรียน แต่มันมาจากการลงมือปฏิบัติก็ตาม แต่ที่เขาเรียนนั่นก็เพื่ออยากจะให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ และอยากถ่ายรูปรับปริญญาร่วมกับครอบครัวเพียงเท่านั้น...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : hilight.kapook.com/view/63170

ผมว่าคงมีหลายคนที่อยากหารายได้เสริมให้กับตนเองและครอบครัวในยุคเศรษฐกิจรัดตัวแบบนี้ บางคนอาจใช้เวลาว่างในวันหยุดทำขนมขาย บางคนอาจทำงานฝีมือไปฝากขายตามร้านกิ๊ฟช๊อปต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจริงๆ แล้วช่องทางหารายได้พิเศษล้วนมีอยู่ด้วยกันมากมายหลากหลายรูปแบบ ก็สุดแต่ว่าใครจะมีความชำนาญในด้านหนึ่งด้านใดเป็นพิเศษรวมถึงความพยายามในการแสวงหาช่องทางการรายได้พิเศษครับ

สำหรับในวันนี้ผมจะมาแนะนำแนวทางในการหารายได้พิเศษกันครับกับการรับจ้างเขียนบทความ งานรับจ้างเขียนบทความเป็นงานที่เหมาะกับคนที่มีใจรักในการอ่าน ชอบค้นคว้า ช่างคิดและมีจินตนาการ เมื่อก่อนอาชีพนักเขียนจะถูกจำกัดกันแค่ในวงการสิ่งพิมพ์ เช่นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ทั้งจากการเป็นนักเขียนประจำให้กับสำนักพิมพ์ รวมถึงนักแต่งหนังสือต่างๆ แต่ในปัจจุบันนี้งานเขียนบทความก็มีบทบาทในโลกอินเตอร์เน็ตมากมายไม่แพ้สื่อสิ่งพิมพ์เช่นกันครับ เราจะเห็นได้ว่าเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องการค้นหาข้อมูลหรือความรู้ใดๆ ก็จะเข้าไปค้นหากันในอินเตอร์เน็ตเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เว็บไซต์ต่างๆ พยายามหาบทความใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำกับใครมาอัพเดตข้อมูลให้กับเว็บไซต์ตัวเองอยู่เป็นประจำ เมื่อมีความต้องการบทความใหม่มากขึ้นทุกวันเกินกว่ากำลังที่เว็บไซต์จะนำสนองความต้องการของผู้เยี่ยมชมได้จึงทำให้เกิดมีการจ้างเขียนบทความขึ้นมา ซึ่งบทความที่จ้างจะถูกกำหนดหัวข้อหรือรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบทความไว้ เช่นเรื่องของสุขภาพความงาม เรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร เรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ และอื่นๆ อีกมากมายเป็นต้น นี่แหล๊ะครับจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับผู้ที่ต้องหารายได้พิเศษเสริมให้กับตนเอง สำหรับการเขียนบทความก็ไม่มีหลักการอะไรยากมากมายนัก โดยส่วนใหญ่จะมีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน 4 ส่วนดังนี้ครับ

1.ชื่อเรื่อง หรือชื่อบทความควรตั้งให้น่าสนใจเพราะจะช่วยทำให้ผู้อ่านอยากเข้าไปอ่านบทความของเรา
2.คำนำ หรืออารัมภบท คือการเกริ่นนำเป็นการบอกให้ผู้อ่านทราบคร่าวๆ ว่าบทความที่เราเขียนบทความนี้จะมาว่าถึงเรื่องอะไร
3.เนื้อเรื่อง ก็คือการดำเนินเรื่องและรายละเอียดต่างๆ ที่เราต้องการสื่อกับผู้อ่าน ไม่ควรเขียนวกไปวนมา ควรเขียนให้อ่านเป็นธรรมชาติ การเชื่อมโยงในแต่ละวรรคตอนควรมีความต่อเนื่องกัน
4.บทสรุป หรือการลงท้าย ควรเขียนให้กระชับไม่ยืดเยื้อ และควรเขียนให้เกิดการอยากติดตามอ่านต่อ

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการเขียนบทความก็คือภาษาที่ใช้ต้องถูกต้องตามอักขระวิธี คำศัพท์และตัวสะกดต่างๆ ต้องถูกตามหลักภาษาไทย สำหรับความยาวของบทความที่เว็บไซต์ต่างๆ นิยมจ้างกันในปัจจุบันนี้จะอยู่ที่ 350-650 คำ ส่วนราคาค่างานเขียนก็ตามแต่ตกลงกัน โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 35-40 บาทต่อบทความขนาด 350 คำ การเขียนบทความบางครั้งอาจใช้เวลาในการเขียนแค่ 10-15 นาที วันหนึ่งๆ เราอาจเขียนได้มากกว่า 10 บทความโดยใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถสร้างรายได้เสริมพิเศษมากกว่า 300-400 บาทในแต่ละวัน ก็นับว่าเป็นรายได้ที่น่าพอใจดีทีเดียวครับ สำหรับการรับงานเราอาจหาตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีความต้องการคนเขียนบทความ หรืออาจลงประกาศรับเขียนบทความตามเว็บประกาศฟรีต่างๆ รวมถึงการทำบล็อกฟรีโดยใช้ blogger เป็นหน้าร้านรับงานเองก็ได้ สำหรับหัวใจหลักของการรับจ้างเขียนบทความก็คือคุณภาพของบทความและเรื่องของระยะเวลาในการส่งงานครับ คุณภาพของบทความก็คือเรื่องที่เราเขียนต้องไม่คัดลอกคนอื่นพยายามเขียนด้วยความรู้ของเราเอง อาจจะอ่านจากหนังสือ หรือดูทีวีแล้วนำข้อมูลมาร้อยเรียงเป็นสำนวนการเขียนของเราเอง การส่งงานควรส่งให้ตรงเวลากับสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้า เพราะการตรงต่อเวลาจะเป็นเครื่องยืนยันในการรับผิดชอบงานนั้นๆ ได้เป็นอย่างดีครับ

เท่าที่ทราบผู้รับจ้างเขียนบทความหลายท่านจากที่เมื่อก่อนเคยทำเป็นอาชีพเสริมแต่ในปัจจุบันกลับยึดเป็นอาชีพหลักก็มีหลายท่านด้วยกันครับ เพราะฉะนั้นช่องทางหารายได้จากการรับจ้างเขียนบทความยังเปิดกว้างรอทุกท่านอยู่เสมอ ขอเพียงให้ท่านเป็นคนชอบค้นคว้า รักการอ่าน รู้จักคิด อยากถ่ายทอดสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์ต่างๆ ให้กับผู้อื่นผ่านตัวอักษร รับรองครับว่างานเขียนบทความยังคงต้องการคนเช่นท่านอยู่เสมอครับ

ในอดีตอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูในดินแดนต่างๆ ทั่วโลกมักจะไม่มีการเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของผู้ครอบครอง ด้วยความประสงค์ที่ไม่อยากเปิดเผยตัวซึ่งแสดงถึงความร่ำรวยให้เป็นที่จับตามอง

ปัจจุบันทัศนคติเช่นนี้เริ่มเปลี่ยนไปครับเมื่อมีมหาเศรษฐีหลายคนเริ่มปรากฏชื่อเสียง หน้าตา และยังไปออกงานโชว์ตัวตามอีแวนต์มากขึ้น บางรายยังรู้สึกยินดีที่มีชื่อในการจัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลกตามสำนักต่างๆ อีกด้วย ล่าสุดมีการเปิดเผยจากเจ้าของอพาร์ตเมนต์สุดหรู “วัน ไฮด์พาร์ด” ในกรุงลอนดอน ที่จัดว่าติดอันดับแพงที่สุดในโลก ซึ่งมีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ดารา นักร้อง มากมายอาศัยอยู่ โดยผู้ที่ถูกสนใจมากที่สุดก็คือ วลาดิสลาฟ โดโรนิน นักธุรกิจเจ้าของเครือบริษัทก่อสร้างระดับแนวหน้าของรัสเซีย โดโรนิน วัย 50 ปี ประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Capital Group ซึ่งเป็นบริษัทด้านการบริหารงานอหังสาริมทรัพย์และจัดการด้านทรัพย์สิน ซึ่งเขาเริ่มก่อตั้งเมื่อตอนอายุ 29 ปี โดยใช้ความรู้ที่เรียนมาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ มาพัฒนาให้บริษัทเจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันคาดว่า โดโรนิน มีทรัพย์สินมูลค่ารวมน่าจะอยู่ที่ราวๆ 1,000-6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนได้รับฉายาว่าเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งรัสเซีย
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ โดโรนิน เป็นเซเลบริตี้ ก็คือการใช้ชีวิตส่วนตัวที่มีสีสัน เศรษฐีรัสเซียผู้นี้ชอบชีวิตสังสรรค์ทั้งกับนักธุรกิจด้วยกันรวมทั้งดารานางแบบชื่อดังระดับโลกอีกด้วย มีรายงานว่าปัจจุบัน โดโรนิน คบหาอยู่กับ นาโอมิ แคมป์เบล นางแบบเชื้อสายแอโฟร-จาไมกัน ชาวอังกฤษ โดยเศรษฐีหนุ่มเอาใจแฟนสาวด้วยการซื้อบ้านบนเกาะสตาร์ รัฐฟลอริดา ให้ด้วยมูลค่าถึง 16 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีผู้ขุดคุ้ยชีวิตสมรสของเขากับภรรยาที่คบหากันมาตั้งแต่อายุ 16 ปี ซึ่งทาง โดโรนิน ได้เปิดเผยว่าได้ทำการหย่าอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ปี 2009

วกกลับมาที่ห้องชุดสุดหรูของ วัน ไฮด์พาร์ค ที่ โดโรนิน ครอบครอง จัดว่าอยู่ในย่านทำเลทองของอังกฤษเลยทีเดียว โดยอพาร์ตเมนต์สุดหรูแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยความเขียวขจีของสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงลอนดอน ตัวตึกสามารถมองวิวได้รอบทิศทาง ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เช่น ห้องชมภาพยนตร์ โรงยิม สนามกอล์ฟจำลอง โรงเก็บไวน์ คนรับใช้ และอาหารระดับโรงแรม 5 ดาว ที่พร้อมบริการถึงที่พัก อย่างไรก็ดีก่อนที่ วัน ไฮด์พาร์ค จะกลายเป็นที่อยู่อาศัยยอดฮิตของเหล่าบรรดาเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ทางผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีรายหนึ่งของอังกฤษได้เปิดเผยว่าอพาร์ตเมนต์สุดหรูแห่งนี้ก็เกือบกลายเป็นอาคารร้างมาก่อนเพราะมีคนจับจองเป็นเจ้าของเพียงแค่ 17 ห้องจากทั้งหมด 76 ห้อง

และจากรายงานล่าสุดก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ก็ไม่ค่อยต่างจากเดิมมากนัก เพราะถึงแม้จะมีผู้จับจองเป็นเจ้าของจนเกือบหมด แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างสระว่ายน้ำก็ไร้เงาผู้มาใช้บริการ รวมถึงเชฟมือหนึ่งประจำอพาร์ตเมนต์ก็แทบไม่ได้จับตะหลิวทำอาหารมานานร่วมสัปดาห์ ก็นับว่าเป็นนิวาสสถานสำหรับคนมีตังค์ที่แปลกประหลาดที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ M2F ฉบับวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556

แทบไม่น่าเชื่อว่าอดีตเด็กนักเรียนระดับมัธยมที่เริ่มต้นอาชีพเป็นนักปาฐกถาสร้างแรงบันดาลใจ เมื่อปี 2005 อย่าง จอช ชิปป์ ที่ปัจจุบันเขาสามารถก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของนักบรรยายมืออาชีพที่ทั่วโลกให้การยอมรับและเฝ้าจับตามองมากที่สุดในฐานะนักพูดให้กำลังใจวัยรุ่นที่อายุน้อยและสร้างรายได้มากที่สุดคนหนึ่งในวงการนักปาฐกถา

จอช  ชิปป์ วัย 31 ปี (2013) เป็นชาวเมืองโอกลาโฮมาซิตี้ สหรัฐอเมริกา แม้เขาจะอายุยังไม่มากแต่ทุกวันนี้เขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาแก่เหล่าวัยรุ่นจนเป็นที่โด่งดัง จนสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองนับล้านเหรียญสหรัฐ และกลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่น่าจับตาที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้ พร้อมกันนี้ยังได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร INC ให้เป็นเจ้าของกิจการวัยไม่เกิน 30 ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด เคล็ดลับความสำเร็จของ ชิปป์ ไม่ได้อยู่ที่วาทะอันเฉียบคมและกินใจผู้ฟังทุกวัยได้เท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ความอุตสาหะและความพยายามในการพัฒนาตัวของเขาเองที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ จอช  ชิปป์ ไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราราบรื่นเหมือนกับคนอื่นๆ  โดยที่เขาเป็นเด็กกำพร้าต้องโยกย้ายไปอาศัยกับครอบครัวอุปถัมภ์หลายต่อหลายแห่งตั้งแต่ยังเล็ก พร้อมกับต้องพบกับสมรสุมชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยยอมแพ้ เก็บความเจ็บช้ำเหล่านั้นแล้วเปลี่ยนมันให้เป็นพลังขับดันให้กับชีวิตเพื่อการก้าวไปข้างหน้า อีกทั้งยังแบ่งปันการเรียนรู้เหล่านั้นให้กับคนอื่นๆ อีกด้วย
ชิปป์ เผยว่าพลังที่เสมือนเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับชีวิตของเขาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็คือการมองโลกในแง่ดี และกระตุ้นให้ตัวเองและผู้อื่นให้เปลี่ยนทัศนคติในด้านลบให้กลับมาเป็นด้านบวกแทน รู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ขมขื่นให้กลายเป็นอนาคตที่สดใส พร้อมกันนี้ ชิปป์ ยังได้กล่าวอีกว่า “บางครั้งสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บปวดที่มากที่สุดก็อาจกลายเป็นสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้และนำมาช่วยเหลือผู้อื่นได้ ถึงเราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่เราก็สามารถสร้างอนาคตให้เป็นจริงขึ้นมาเองได้” ปัจจุบัน จอช  ชิปป์ ยังคงทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งการเดินสายไปบรรยายทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทำรายการทีวีเป็นของตัวเองอีก 2 รายการ รวมถึงเขียนหนังสือซึ่งเป็นแนวสร้างความหวังและความฝันให้กับคนรุ่นใหม่มาแล้วถึง 2 เล่ม พร้อมกันนี้ ชิปป์ ยังได้รับการเชื้อเชิญจากนิตยสาร CosmoGIRL! ให้มาเป็นนักเขียนคอลัมภ์ให้คำปรึกษาวัยรุ่น อีกทั้งนี้ยังได้รับเชิญให้เป็นผู้ตอบปัญหาวัยรุ่นทางสถานีโทรทัศน์ MTV อีกด้วย พร้อมกันนี้เขายังได้เปิดเว็บไซต์ HeyJosh.Com ซึ่งในปัจจุบันก็คือ JoshShipp.Com นั่นเอง

ความสำเร็จของ จอช  ชิปป์ เกิดจากความสามารถส่วนตัวบวกกับทีมงานที่มีคุณภาพที่ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านมา ซึ่งในระยะแรกกิจการของ ชิปป์  ที่ก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อปี 2008 จะมีพนักงานเพียงแค่ 8 คนก็ตาม แต่ 8 คนนี้เองที่ทำรายได้ในครั้งแรกได้ถึง 580,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยสำหรับวัยรุ่นมือใหม่ที่ยังไม่จบมหาวิทยาลัย
จากอดีตจนถึงปัจจุบันรวมๆ แล้ว จอช  ชิปป์ พูดให้กับนักเรียนนักศึกษาฟังมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผู้อ่านผลงานของเขาทางหนังสือที่เขียน และผู้ชมทางโทรทัศน์อีกจำนวนมหาศาล



ใครจะไปเชื่อว่านมเปรี้ยวอย่างโยเกิร์ตจะสามารถพลิกชีวิตคนธรรมดาอย่าง ฮัมดี อูลูคายา ให้กลายเป็นมหาเศรษฐีคนใหม่แห่งปี 2013 ของประเทศตุรกี ลำดับที่ 36 ด้วยทรัพย์สินกว่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ เส้นทางสู่ความสำเร็จของ ฮัมดี ฮูลูคายา เจ้าของธุรกิจโยเกิร์ตสำเร็จรูปยี่ห้อ CHOBANI แห่งตุรกี เป็นมาอย่างไรขอเชิญติดตามอ่านกันได้เลยครับ

ย้อนหลังกลับไปในปี 1994 อูลาคูยา ตัดสินใจเดินทางจากตุรกีบ้านเกิดเพื่อไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อจบหลักสูตรด้านภาษาแล้วเขาจึงได้ถือโอกาสเรียนต่อในสาขาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีกด้วย เพราะตัว อูลูคายา เองตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นเจ้าของธุรกิจรายใหญ่ที่มีสินค้าส่งให้กับบรรดาห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในอเมริกา ซึ่งตอนนั้นเอง อูลูคายา ก็ได้ความคิดจากธุรกิจของตระกูลที่ทำกันในประเทศตุรกี นั่นก็คืออาชีพขายนมและชีส ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้เขาตัดสินใจนำธุรกิจของครอบครัวที่ตัวเองมีความถนัดมาต่อยอดสร้างฝันให้กับตัวเองในดินแดนประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยหัวทางด้านธุรกิจทำให้ อูลูคายา คิดว่าหากจะขายแต่นมและชีสเพียงแค่นี้ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ เนื่องจากคู่แข่งขันมีจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจผลิตสินค้าตัวใหม่ขึ้นมาอีกอย่างนั่นก็คือโยเกิร์ต อาหารง่ายๆ ที่คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานกัน เขาจึงได้ทดลองชิมโยเกิร์ตทุกชนิดที่วางขายในสหรัฐ และพบว่าโยเกิร์ตเหล่านั้นยังไม่อร่อยโดนใจพอ เขาจึงค้นคิดสูตรใหม่ด้วยตนเองโดยใช้เวลาเกือบปีครึ่งจึงต้นพบสูตรโยเกิร์ตสไตล์กรีกขึ้นมา และตอนนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่บริษัท Kraft ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโยเกิร์ตอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ได้ประกาศขายกิจการ ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองบวกกับความคิดที่ว่าโยเกิร์ตสไตล์กรีกของเขาจะต้องติดตลาดเป็นที่นิยมของผู้คนอย่างแน่นอน ทำให้ อูลูคายา ตัดสินใจซื้อโรงงานแห่งนี้ และเดินหน้าผลิตโยเกิร์ตสไตล์กรีกยี่ห้อ CHOBANI ขึ้นมาตีตลาดวงการโยเกิร์ตในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น CHOBANI ก็ได้ความนิยมจากผู้คนทุกชนชั้น ทำให้บรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งติดต่อขอนำสินค้ามาวางจำหน่ายในห้างของตน ซึ่งภายในระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียวโยเกิร์ตยี่ห้อ CHOBANI สามารถสร้างผลกำไรได้ถึง 200% ด้วยรายได้มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังครองแชมป์โยเกิร์ตที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

อูลาคายา กล่าวว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีอะไรเป็นเรื่องยาก กลยุทธ์ที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องปกติที่คนทำธุรกิจทั่วๆ ไปก็รู้ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเขาเองก็เป็นเพียงแค่นักธุรกิจธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่น สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จจริงๆ นั้นคงมาจากคุณภาพของตัวสินค้าเองมากกว่า อูลูคายายังกล่างทิ้งท้ายอีกว่าหากคุณใส่ใจในสินค้าและคุณภาพตลอดจนเข้าใจในหัวอกผู้บริโภคแล้วก็ไม่ต้องกลัวคำว่า “ขาดทุน” ครับ

ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ M2F ฉบับวันอังคารที่ 9 เมษายน 2556